เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวและอาจมีฝนตกประปรายจนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว มีอาการเจ็บคอ ระคายเคืองภายในลำคอได้ง่ายกว่าปกติ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากการได้รับเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียซึ่งมีโอกาสพบได้บ่อยในช่วงที่อากาศชื้นมากเป็นพิเศษทำให้เชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้สามารถเติบโตและแพร่กระจายได้โดยง่าย ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีอาการเจ็บคอ ระคายเคืองคอและอาจทำให้มีไข้หวัด คัดจมูก มีน้ำมูกไหล จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย อากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้ควรมีวิธีการดูแลสุขภาพอย่างไร? ชวนดู 5 วิธีรับมืออาการเจ็บคอในช่วงอากาศเปลี่ยนที่ทำตามได้ง่ายๆ แต่ได้ผลในบทความนี้
5 วิธีรับมืออาการเจ็บคอในช่วงอากาศเปลี่ยน
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับลำคอ
ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยน้ำหรือของเหลวประมาณร้อยละ 60-70 การดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอมีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ ตลอดไปจนถึงช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับช่องปากและลำคอในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย มีฝนตกและอากาศเริ่มเย็นลงจนทำให้มีอาการเจ็บคอ ระคายเคืองคอได้ง่ายมากเป็นพิเศษ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนับเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ได้ผลดีโดยน้ำเปล่าช่วยทำให้ลำคอชุ่มชื้น ลดอาการระคายเคืองคอ เจ็บคอให้ดีขึ้นได้หรือหากมีอาการเจ็บคอ คออักเสบและมีเสมหะร่วมด้วยผู้ป่วยก็สามารถเลือกดื่มเป็นน้ำอุ่นเพื่อช่วยลดการระคายเคืองและช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว ทำให้รู้สึกโล่งคอ สบายคอมากขึ้นได้
- รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอโดยเฉพาะช่วงบริเวณลำคอ
เมื่อมีอาการ เจ็บคอ ไอ หรือมีไข้หวัดในช่วงที่ฝนตกหรืออากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศเย็นนานๆ เพราะอาจกระตุ้นให้อาการไข้ เจ็บคอ ระคายเคืองในลำคอรุนแรงขึ้นได้ ผู้ป่วยควรระมัดระวังการดูแลสุขภาพให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อหนา เสื้อผ้าแขนยาว ขายาวและอาจเพิ่มความอบอุ่นที่บริเวณลำคอด้วยการใช้ผ้าพันคอหรือใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นพอหมาดแล้วนำมาประคบที่บริเวณลำคอ อุณหภูมิที่เพิ่งสูงขึ้นบริเวณลำคอมีส่วนช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บริเวณเยื่อบุเมือกในลำคอ จึงมีส่วนช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอให้ดีขึ้นได้อย่างเห็นผล นอกไปจากนี้ผู้ป่วยยังควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศเย็นเป็นเวลานาน เช่น การอาบน้ำเย็น การดื่มน้ำเย็น การเปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมจ่อตัวตลอดคืน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลงกว่าเดิมจนส่งผลให้เยื่อบุหลอดลมเกิดการอักเสบ ทำให้มีอาการเจ็บคอ ไอ ระคายคอที่รุนแรงขึ้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
อีกหนึ่งวิธีรับมืออาการเจ็บคอ ระคายเคืองคอที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือมีฝนตกเป็นประจำทุกวัน คือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ทำการซ่อมแซมและฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่ นอกไปจากนี้การนอนหลับให้เพียงพอยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วยหรือมีอาการไข้หวัด เจ็บคอ ระคายเคืองคอยอยู่บ่อยครั้ง และอาจเสริมการดูแลสุขภาพเพื่อช่วยรับมืออาการเจ็บคอ มีไข้หวัด ในช่วงหน้าฝนด้วยการหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงและสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายไปด้วยในตัว เช่น การวิ่งจ้อกกิ้ง การเดินเร็ว การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ การฝึกเล่นโยคะ ฯลฯ
- จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ
หากเริ่มมีอาการเจ็บคอ ไอ ในช่วงที่ฝนตกบ่อยๆ หรืออากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง สามารถบรรเทาอาการเจ็บคอให้ดีขึ้นได้ด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาวโดยใช้น้ำผึ้งประมาณ 1-2 ช้อนชาและน้ำมะนาว ½ ลูก ผสมลงไปในน้ำอุ่นประมาณ 1 แก้ว ใช้จิบบ่อยๆ เมื่อรู้สึกเจ็บคอ ระคายเคืองในลำคอ ความลับเบื้องหลังของเครื่องดื่มช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอจากธรรมชาตินี้ คือ น้ำผึ้ง (Honey) ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บคอ ระคายเคืองคอ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังช่วยทำให้ชุ่มคอและบรรเทาความรู้สึกอยากไอได้อีกด้วย ส่วนน้ำมะนาวที่มีฤทธิ์เป็นกรดมีส่วนช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว ทำให้โล่งคอ และมีกรดซิตริก (Citric Acid) ช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากเชื้อโรคพร้อมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ข้อควรระวังสำหรับการดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาวเพื่อการดูแลสุขภาพ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ไอ ในช่วงที่ฝนตกบ่อยๆ นั้นควรเลือกใช้น้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติเท่านั้น ไม่ควรดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาวมากเกินไปเพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- บรรเทาอาการเจ็บคอในหน้าฝนให้ดีขึ้นด้วยการใช้ยาแก้เจ็บคอ สเปรย์พ่นคอ
อาการเจ็บคอ ระคายเคืองในลำคอ ไอ เมื่อฝนตกหรืออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นอาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อไวรัสมากถึงร้อยละ 70-80 สามารถรับมือได้ด้วยการเลือกใช้ยาแก้เจ็บคอ สเปรย์พ่นคอที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองภายในลำคอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ โดยทางที่ดีควรเลือกใช้สเปรย์พ่นคอที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ เช่น สแตนดาร์ดไดซ์โพรโพลิส (Standardized Propoliz Extract) น้ำผึ้ง (Honey) ที่มีความปลอดภัยและสามารถใช้ได้บ่อยครั้งเมื่อมีอาการและสำหรับในกลุ่มที่มีอาการเจ็บคอ คออักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียภายในลำคอทำให้มีอาการเจ็บคอ คอแดง มีไข้สูงและมีอาการไอเรื้อรังต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเป็นเวลาต่อเนื่อง 7-14 วัน เพื่อช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ภายในระบบทางเดินหายใจให้หมดไปและสามารถใช้ยาพ่นคอหรือสเปรย์พ่นคอควบคู่ไปกับการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
มีอาการเจ็บคอ ไอ เมื่อฝนตกหรืออากาศเปลี่ยนแบบไหนควรเข้าพบแพทย์?
หากใช้ 5 วิธีรับมืออาการเจ็บคอเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแล้วพบว่าอาการยังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติเหล่านี้ร่วมด้วยควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยสาเหตุของอาการอย่างทันท่วงที
- มีอาการไอ เจ็บคอ คอแดง เรื้อรังต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์
- มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียสและไข้ไม่ลดลงเลยหลังจากทานยาลดไข้
- รู้สึกเจ็บคอมากจนทำให้กลืนน้ำลาย กลืนอาหารไม่ได้และเบื่ออาหาร
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน
- มีเลือดปนออกมากับน้ำลายหรือเสมหะ
- ลิ้นไก่บวมแดง ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอขยายใหญ่ขึ้นและกดเจ็บ
- ต่อมทอนซิลอักเสบ มีจุดหนองหรือฝ้าสีขาว
- มีอาการอ่อนเพลีย หายใจลำบาก หายใจได้ไม่เต็มอิ่ม
อาการเจ็บคอ ไอและมีอาการรุนแรงเหล่านี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียภายในระบบทางเดินหายใจและมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาอาการไอ เจ็บคอ ให้ดีขึ้นได้อย่างตรงจุด
สรุป
เมื่อรู้สึกเจ็บคอ มีอาการไอในช่วงที่ฝนตกหรืออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยควรหันมาให้ความใส่ใจกับการดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอและรับมืออาการไอ เจ็บคอด้วยวิธีที่เหมาะสม ได้แก่ การดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น โดยควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 1.5 ลิตร/วัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับลำคอ พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอโดยเฉพาะช่วงบริเวณลำคอ เมื่อรู้สึกเจ็บคอควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกาย จิบน้ำผึ้งผสมมะนาวเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอหรือเลือกใช้ยาแก้เจ็บคอ สเปรย์พ่นคอที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติเพื่อฉีดพ่นในลำคอเมื่อมีอาการเจ็บคอ ไอ ได้บ่อยตามต้องการ หากใช้วิธีรับมือเหล่านี้แล้วพบว่าไม่ดีขึ้น อาการเจ็บคอ ไอ ทวีความรุนแรงและเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสาเหตุของอาการอย่างละเอียดและใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม ช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตจนจัดการได้ยาก
FAQs
โรคทางเดินระบบหายใจที่เจอได้บ่อยในหน้าฝน หรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย มีโรคอะไรบ้าง
โรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีอาการเจ็บคอ ไอ ระคายเคืองคอที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าฝน ได้แก่ โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคคออักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดอักเสบ โรคปอดบวม ฯลฯ
ฝนตก อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยทำให้เกิดอาการไอ หรือเจ็บคอได้จริงไหม?
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกบ่อยทำให้มีความชื้นในอากาศมากเป็นพิเศษ เชื้อไวรัสและแบคทีเรียต่างๆ จึงเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราอ่อนแอจึงมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อผ่านทางเดินระบบหายใจได้ง่าย ทำให้มีอาการไอ เจ็บคอ ระคายเคืองในลำคอตามมา
มีอาการเจ็บคอ ไอ หลังจากตากฝนหรืออากาศเปลี่ยนแปลงต้องกินยาไหม?
โดยส่วนใหญ่อาการเจ็บคอ ไอ ที่เกิดขึ้นหลังจากตากฝนหรืออากาศเปลี่ยนแปลงมักเป็นอาการเจ็บคอแค่เพียงเล็กน้อยที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถใช้วิธีรับมืออาการเจ็บคอให้ดีขึ้นได้ด้วยตนเองด้วยการจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอและทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สามารถใช้ยาพ่นคอ สเปรย์พ่นคอเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอให้ดีขึ้นภายในช่วง 5-7 วัน โดยไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ
วิธีป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บคอ ไอ หรือติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือช่วงหน้าฝน
ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือมีฝนตกชุก ควรเตรียมอุปกรณ์กันฝนติดตัวเสมอ เช่น ร่ม หมวก เสื้อกันฝน ฯลฯ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดและอากาศถ่ายเทได้ไม่สะดวกเพื่อลดโอกาสการได้รับเชื้อโรคผ่านระบบทางเดินหายใจ หมั่นล้างทำความสะอาดมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหนาเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย